Key to Happiness – Phakchok Rinpoche message in November 2011 สารจากท่าน พักชก ริมโปเช ในเดือน พฤศจิกายน 2554
|
แด่สหายทั้งหลายที่อยู่ใกล้และอยู่ไกล สวัสดีทุกท่านเนื่องในวันคุรุรินโปเช หวังว่าทุกท่านคงมีสุขภาพที่ดีและมีความสุข เราทุกคนล้วนต้องการจะมีความสุข สิ่งนี้คือเป้าหมายพื้นฐานในชีวิตเราจริงหรือไม่? แต่บ่อยครั้งที่เรารู้สึกว่าเป็นการยากลำบากเหลือเกินที่จะเข้าถึงความสุข เมื่อใดก็ตามที่เราไม่รู้ว่าจะรับมือกับอารมณ์และจิตใจของเราอย่างไร เมื่อนั้นเราจะรู้สึกว่าชีวิตช่างน่าเหนื่อยหน่ายและตึงเครียด ด้วยเหตุนั้นในที่นี้ข้าพเจ้าจึงอยากมีส่วนร่วมกับท่านทั้งหลายในวิถีทางสามเรื่องง่ายๆ ที่ช่วยให้ข้าพเจ้าสามารถจัดการกับอารมณ์และความรู้สึกของข้าพเจ้า ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าสุขสบายอยู่เสมอ
- 1) สร้างพื้นที่ว่าง
ทุกวันนี้เรามีสิ่งที่ต้องคิดคำนึงถึงมากมายเหลือเกิน ทั้งเรื่องสุขภาพ ครอบครัว หน้าที่การงาน และถ้าท่านเป็นผู้ฝึกปฏิบัติธรรมด้วยแล้วท่านยังมีภาระในการทำสมาธิและฝึกปฏิบัติธรรมที่ต้องเป็นห่วงอีก เมื่อใดก็ตามที่เราไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไรความกังวลนี้จะทำให้จิตใจของเราหดตัวลงที่ละน้อยๆ และมีขนาดแคบลงๆ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นไปในทางเลวร้ายยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนบางครั้งดูเหมือนว่าสิ่งต่างๆ เริ่มท่วมท้นหนักหน่วงจนรู้สึกเหมือนกำลังติดกับดักและยังรู้สึกแน่นหน้าอก เราจะแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความพยายามที่จะผ่อนคลายตัวเองจากความรู้สึกเหล่านั้น สิ่งนี้คงเกิดขึ้นกับเราบ้างในบางครั้งไม่มากก็น้อย แต่เรื่องเล็กๆ เหล่านี้ก็อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่เราไม่สามารถจัดการกับมันได้
วิธีการที่ยอดเยี่ยมประการหนึ่งในการจัดการกับสิ่งเหล่านี้คือการสร้างพื้นที่ว่างทางจิตใจขึ้น วิธีนี้จะช่วยปลดปล่อยอกุศลเจตนาและความตึงเครียดทั้งในจิตใจเช่นเดียวกับในร่างกายของท่าน การสร้างพื้นที่ว่างมีวิธีการที่ง่ายมาก มันไม่ใช่การสอนคำสอนทางพุทธศาสนาหรืออะไรทำนองนั้น หากเป็นเทคนิคง่ายๆ ที่เราสามารถประยุกต์ใช้กับพื้นที่ว่างและอิสรภาพของเรา และปลดปล่อยเราจากความกังวลทั้งมวล
แล้วเราจะสร้างที่ว่างได้อย่างไร? หากท่านมีเวลาสักเล็กน้อยลองมองตรงไปข้างหน้าและจินตนาการว่าท่านกำลังถูกล้อมรอบด้วยที่ว่างทุกทิศทุกทาง หากจำเป็นบางครั้งก็อาจใช้วิธีมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ว่างเปล่า เพียงแค่จินตนาการว่าทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นที่ว่าง ไม่มีกำแพง ไมมีขอบเขต ไม่มีตึกรามบ้านช่อง ไม่มีอะไรเลย และอย่าเริ่มต้นคิดถึงการงาน ครอบครัว คิดถึงเฉพาะสิ่งที่ท่านต้องการจะทำ จินตนาการง่ายๆ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นพื้นที่ว่างกว้างใหญ่ ฟ้าโปร่งเหมือนที่ว่าง และปล่อยให้จิตใจของท่านผสมกลมกลืนไปกับพื้นที่ว่างดังกล่าวจนกลายเป็นพื้นที่ว่างและเปิดโล่งสุดลูกหูลูกตา ท่านอาจจะหลับตาลงหากสิ่งนี้ช่วยท่านได้ จินตนาการถึงความว่างเปล่านี้สักอึดใจหนึ่ง หลังจากเวลาผ่านไปสักนาทีหรือสองนาทีท่านจะเริ่มรู้สึกถึงความว่างในจิตใจอย่างแท้จริง หน้าอกของท่านจะโล่งและท่านจะรู้สึกถึงความผ่อนคลายจากความตึงเครียดในหัวท่านก่อนหน้านี้ จิตใจของท่านจะเปิดออกเช่นเดียวกับวิธีคิดของท่านที่จะเปลี่ยนไปเช่นกัน ขั้นตอนเหล่านี้ใช้เวลาไม่มากเลยเพียงห้าหรือสิบนาทีและยังง่ายมากด้วย นั่นแหละคือความวิเศษของการสร้างที่ว่าง ท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อฉันแต่ลองดูด้วยตนเองแล้วท่านจะรู้สึกได้ด้วยตนเอง
- 2) เรียนรู้ข้อผิดพลาดของตนเองและลดการตัดสิน
เราทุกคนล้วนต้องการจะมีแต่ความสุขจริงหรือไม่ แต่อะไรคือสิ่งที่จิตใจของเรายึดติดอยู่ตลอดเวลา? นั่นคือความรู้สึกในด้านลบ การตัดสินในเด้านลบ และความคิดในด้านลบ ลองย้อนมองเข้าไปในจิตของท่านและศึกษาถึงรูปแบบของอารมณ์ดังกล่าวว่ามีมากน้อยเพียงใดที่อยู่ในด้านลบ ท่านเคยคำนึงถึงเรื่องนี้สักเล็กน้อยบ้างไหม?
ดังนั้นสิ่งที่ท่านต้องทำประการแรกคือตระหนักและยอมรับในรูปแบบหรือกระบวนการความคิดของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกในด้านลบของท่านและกระบวนการที่ก่อให้เกิดความรู้สึกดังกล่าว หรือกระบวนการที่ความรู้สึกต่างๆ บังเกิดขึ้น การยอมรับในที่นี้คือการสังเกตเห็นโดยไม่ต้องตัดสินอะไรใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องทราบถึงความแตกต่างระหว่างการสังเกตเห็นกับการตัดสิน การสังเกตเห็นคือการตระหนักถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเรียบง่าย เช่นคำกล่าวว่า “โอ้ ใช่เลย ฉันมีปัญหากับความเป็นคนขี้อิจฉาของฉัน” ส่วนการตัดสินมักจะก้าวเลยไปก้าวหนึ่งเสมอซึ่งส่งผลไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ชี้ถูกชี้ผิด ดังประโยคที่กล่าวว่า “โอ้ ใช่เลย ฉันมีปัญหากับความขี้อิจฉาของฉัน ฉันมันเลวสิ้นดี ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะทำผิดพลาดได้เช่นนั้น โอ้ ฉันช่างงี่เง่าจริงๆ ทนไม่ไหวแล้ว…” ท่านเห็นความแตกต่างดังกล่าวบ้างไหม การตัดสินนั้นเกี่ยวข้องกับอารมณ์ขณะที่การสังเกตเห็นนั้นไม่ ดังนั้นให้ท่านหัดสังเกตง่ายๆ ถึงความผิดพลาดของท่านโดยไม่จำเป็นต้องตัดสิน ปัญหาทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องที่เราหันหลังให้กับการปฏิบัติธรรมหรือการฝึกฝนทางจิตต่างๆ หรือมีปัญหาที่ต้องพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้น ไม่ว่าเราจะพยายามอย่างหนักมาแล้วเพียงไรก็ตาม เพราะนั่นเปรียบเสมือนการกินยารักษาโรคโดยที่ยังไม่รู้ว่าตนป่วยด้วยสาเหตุใด ดังนั้นโปรดหยุดคิดสักนิดหนึ่งโดยการหันเข้าไปมองตนเองด้วยความสัตย์จริงว่าเรามีข้อผิดพลาดอะไรบ้าง
- 3. ความกรุณาและเมตตา
กุญแจสำคัญดอกที่ 3 ที่ฉันอย่ากจะกล่าวถึงในที่นี้คือความกรุณาและเมตตา ถ้าถือตามหลักเกณฑ์คำสั่งสอนในพุทธศาสนา กรุณาหมายถึงความปรารถนาที่จะให้สรรพสัตว์เป็นอิสระจากความทุกข์และเหตุแห่งความทุกข์ และเมตตาก็คือความปรารถนาที่จะให้สรรพสัตว์มีความสุขและเหตุของความสุข ในที่นี้ฉันจึงอยากจะอธิบายว่ากรุณาหมายถึงความเข้าใจพื้นฐานหรือการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ขณะที่เมตตาหมายถึงการมีจิตใจดี
ความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่นในครอบครัวที่มีความสุขและปรองดองกัน บิดามารดาก็จำเป็นต้องเข้าใจบุตรหลานของตน ต้องมองสิ่งต่างจากมุมมองของพวกเขา และบุตรหลานก็จำเป็นต้องเข้าใจผู้ปกครองของตนในทำนองเดียวกัน ความสัมพันธ์เช่นนี้สามารถสร้างขึ้นได้ในทุกสถานที่และทุกเวลาไม่ว่าจะเป็นในที่ทำงานหรือเป็นความสัมพันธ์ชนิดอื่นๆ ก็ตาม เราจำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน พยายามทำความรู้จักซึ่งกันและกัน และหัดมองสิ่งต่างๆ จากมุมมองของผู้อื่น พูดอย่างติดตลกได้ว่าเราต้องหัดใส่รองเท้าของคนอื่นบ้าง หากมีใครมาตะโกนด่าว่าคุณคุณจะคิดว่าเขากำลังมีความสุขอยู่หรือ? คุณคิดว่าเขาสนุกกับการกระทำเช่นนั้นหรือ? เปล่าเลย เขากำลังกลัดกลุ้ม เครียด และโกรธ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาจะรู้สึกเสียใจไม่น้อยกับการกระทำของตัวเอง ใช่แล้วหลายคนทำผิดพลาด แต่ท่านคิดว่าเขาใช้อารมณ์มากเกินไปหรือเปล่า? ท่านคิดว่าเขาทำลงไปเพราะเขามีความสุขหรือ? ไม่เลย ดังนั้นท่านควรพยายามใช้ความเข้าใจแทนที่จะมีอารมณ์โกรธตอบและด่วนตัดสินจากมุมมองของท่าน ถ้าท่านปฏิบัติได้ดังนี้ก็ถือได้ว่าท่านมีความกรุณาแล้ว
ในอีกมุมหนึ่งของความกรุณาก็คือหากท่านสามารถเข้าใจถึงปัญหาทั้งหลายของตัวเองและสามารถปลดปล่อยตนเองจากสิ่งเหล่านั้นได้ ความกรุณาต่อผู้อื่นก็จะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติหรือโดยเป็นธรรมชาติ ในทางตรงกันข้ามหากท่านไม่สามารถจัดการกับข้อสังเกตในปัญหาของท่านเอง ณ ที่ที่มันก่อตัวขึ้น และรู้ว่าท่านต้องทุกข์ทนอย่างไร แล้วท่านจะมีความกรุณาต่อผู้อื่นได้อย่างไร ท่านจะหวังให้ผู้อื่นเป็นอิสระจากความทุกข์ได้อย่างไร ความทุกข์ซึ่งท่านเองยังไม่แม้แต่จะตระหนักรู้โดยชัดเจนได้ ดังนั้นสิ่งแรกสุดคือการมองเห็นปัญหาของตนเอง คำถามต่อมาคือแล้วอย่างไร? เมื่อท่านสร้างพื้นที่ว่างซึ่งเป็นกุญแจประการแรกสำเร็จ และค้นพบอิสระจากความเครียดและการจู่โจมของความคิดต่างๆ ท่านจะเห็นได้ว่าท่านสามารถพ้นออกมาจากสิ่งใด ท่านเห็นถึงคุณประโยชน์ว่าท่านมีความสุขได้อย่างไร จากจุดแรกสุดคือการสร้างพื้นที่ว่าง ท่านจะคิดใหม่ว่า “โอ้ หัวหน้า ถ้าเขาทราบวิธีการนี้เขาจะดีขึ้นกว่านี้มาก คนน่าสงสาร”
เมื่อใดก็ตามที่ท่านมีความกรุณาเช่นนี้จิตใจของท่านก็จะเบาและเป็นอิสระขึ้นเรื่อยๆ เมื่อใดก็ตามที่ท่านหันไปเพ่งพิจารณาถึงคนอื่นๆ แทนที่จะเป็นเรื่องของตัวเอง ท่านจะสามารถลดอัตตาหรืออีโก้ลง ผลที่ได้ต่อจิตใจของท่านก็คือความผ่อนคลายที่เพิ่มมากขึ้น รู้สึกเปิดกว้างขึ้น และปัญญาเพิ่มพูนมากขึ้น ท่านสามารถแลกเปลี่ยนกุญแจทั้งสามนี้กับคนอื่นๆ ต่อไปเพราะเป็นสิ่งที่มีแต่คุณประโยชน์ไม่เป็นพิษภัยต่อพวกเขา และนี่คือกุญแจสามดอกไปสู่ความสุข
ด้วยความรักและปรารถนาดี
สรรวะมังคะลัม
พักชก รินโปเช (Phakchok Rinpoche)
Leave a Reply