Five Dear Friends – Phakchok Rinpoche message in July 2014 สารจากท่าน พักชก ริมโปเช สิงหาคม 2557
|
||||||||||||||||||
|
We will be updating new events soon.
|
||||||||||||||||||
|
|
||||||||||||||||||
|
Video from Phakchok Rinpoche
https://www.youtube.com/watch?v=9qhl8FGBAwQ
|
|||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||
|
|
|
|
|||||||||||||
|
|
||||||
|
Dear Friends from Near and Far,
This month is the tenth Tibetan month (Monkey month), which is also Guru Rinpoche’s month. On this Guru Rinpoche Day in this very auspicious month, I wish all my friends happiness and health and may all your wishes be fulfilled.
I am writing to all of you from Singapore, where today we are doing the Sampa Lhundrub (Spontaneous Fulfilment of Wishes) Feast Offering Puja for the whole day, generating vast accumulation of merit. The past two days, we completed the Lama Norlha (King of Wealth Deities) retreat, which also went very successfully.
During the retreat, I shared with my friends an important tip about success. In order to be truly successful in life, we must have kind and caring mind, and especially a generous mind. Giving is important and when we know how to give, we become successful. Only by giving unconditionally and without any taint of stinginess on our part, will we generate the conditions for success and good fortune. Please keep this in mind, and try to apply this in your daily life.
Take care yourselves and practice diligently. Don’t be lazy. Take care of your health, not only physically but also mentally.
Wishing you every happiness and joy, and with constant aspirations,
Phakchok Rinpoche
Sarva Mangalam!
Guru Rinpoche Day Teaching – 12 November 2013
คำสอน เนื่องในวันรำลึกถึง คุรุปัทมสมภพ ประจำวันที่ 12 พฤษจิกายน 2556
Dear Friends Near and Far,
สวัสดีกัลยาณมิตรทั้งใกล้และไกล,
With warm greetings to you all this wonderful Guru Rinpoche Day of the ninth Tibetan month, today I would like to share four simple and practical points:
เนื่องในวันรำลึกถึงกูรูรินโปเชประจำเดือนที่ 9 ในปฏิทินทิเบตข้าพเจ้าอยากจะแบ่งปันหัวข้อข้างล่างทั้ง 4 ที่ง่ายและนำไปปฏิบัติได้จริงพร้อมทั้งมอบคำทักทายอันอบอุ่นให้กับพวกเธอใน วันพิเศษนี้
1. We all want happiness, and we all want to be free from suffering. This is our most basic wish. And to accomplish this, some of us are studying and practising the dharma, Buddha’s teaching. There are many others who are not interested in the dharma, but either way, we are all seeking the same thing. Regardless of whom we are, one of the most important factors in helping realize this basic wish is cultivating a calm, peaceful mind. This isn’t something that comes straight away though; we need to develop it bit by bit. For this reason, the practice of shamata (calm-abiding) meditation is so very important: practicing shamata meditation focusing on the cycle of the breath every morning for fifteen minutes or so. Through training in this, our mind will gradually calm down and we’ll gain some control over our state of mind. This control will prove to be extremely helpful in quelling our uneasiness when we encounter difficult circumstances and emotions, like stress and frustration.
1. เราทุกคนต้องการความสุขและเราทุกคนต้องการที่จะเป็นอิสระจากความทุกข์ นี่เป็นความปรารถนาระดับพื้นฐานขั้นแรกสุดของเรา และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้พวกเราบางคนศึกษาและนำธรรมะ (คำสอนของพระพุทธเจ้า) มาปฏิบัติ และยังมีคนอื่นๆอีกหลายคนที่ไม่ได้สนใจในธรรมะ, อย่างไรก็ตามพวกเราทุกคนล้วนแสวงหาสิ่งเดียวกันดังกล่าวมาข้างต้น ไม่ว่าเราจะเป็นใคร, การเพาะบ่มจิตที่สงบสุขสันติเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการช่วยให้ ความปรารถนาขั้นพื้นฐานสัมฤทธิ์ผล แต่จิตที่สงบไม่ได้มาจากการแบมือขอหากแต่มันมาจากการเพียรฝึกฝนทีละเล็กทีละ น้อย ด้วยเหตุนี้การปฏิบัติสมถะกรรมฐาน (การภาวนาเพื่อให้จิตเกิดความสงบ) เป็นสิ่งสำคัญมาก: เธออาจจะเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติสมถะกรรมฐานแบบเพ่งดูลมหายใจที่เข้าและออก (อานาปานสติ) ทุกเช้าเป็นเวลาประมาณสิบห้านาที ด้วยวิธีนี้จิตของเราก็จะค่อยๆ สงบลงทีละน้อยและเราก็จะการควบคุมอาการของจิตของเราได้ในที่สุด การควบคุมจิตได้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการขจัดปัดเป่าความไม่สบายใจของ เราเมื่อเราประสบกับสถานการณ์ที่ยากลำบากและอารมณ์อันเกี้ยวกราดและเลวร้าย เช่น ความเครียด และความขัดเคืองใจ
2. Secondly, in our quest for happiness we need love and compassion. These are indispensable qualities. We really cannot do without them. If we lack compassion and concern for people and are always getting angry with them, we won’t have a very pleasant time ourselves, and it goes without saying that this will make life difficult for those around us. So we need care and love for our family and friends and a basic empathy and concern for everyone around us, an empathy that allows us to feel connected to all other humans, a very open and caring state of mind. Otherwise, without these qualities it will be very difficult for us to live a truly unhappy and enjoyable life; we will in fact just be creating needless suffering for ourselves.
2. ประการที่สอง ในการแสวงหาความสุขเราจำเป็นที่จะต้องมีความรักและเมตตากรุณาต่อผู้อื่น สองสิ่งนี้เป็นคุณสมบัติที่ขาดไม่ได้จริงๆเราไม่สามารถที่พบความสุขอันแท้ จริงได้โดยปราศจากสองสิ่งนี้ หากเราไร้ซึ่งความเมตตากรุณาและความห่วงใยต่อผู้อื่นและมักจะผูกโกรธผู้อื่น อยู่เสมอเราก็จะไม่มีทางอยู่เป็นสุขได้และมันจะทำให้ผู้คนรอบข้างเป็นทุกข์ ไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องเอาใจใส่และมอบความรักให้กับครอบครัวและเพื่อนของ เราและรู้จักการเอาใจเขามาใส่ใจเราและมีความห่วงใยต่อผู้คนรอบข้าง, การเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นช่วยให้เรารู้สึกผูกพันกับคนเหล่านั้น, มันเป็นการสภาวะจิตที่เปิดกว้างและเต็มไปด้วยความเอาใจใส่ต่อผู้อื่น ในทางตรงกันข้ามหากปราศจากคุณสมบัติทั้งสองนี้มันจะเป็นไปได้ยากที่เราจะใช้ ชีวิตอย่างเป็นสุขและสนุกสนานอย่างแท้จริงได้; มันกลับจะสร้างความทุกข์ทรมานให้กับตัวเองโดยไม่รู้ตัว
3. Thirdly, we need a good balance. If you are a spiritual person then practice the dharma (or any other religion or spiritual path you follow) well and genuinely, and at the same time look after your family and friends. Take good care of your kind parents, grandparents, your siblings, your entire family and all your friends and acquaintances. Also do whatever you can to help those in need through charity and in different ways. This balance I feel is very important. To accomplish this balance, learning and practising the dharma can really help. Even if you are not inclined to follow a spiritual path, it can be very helpful to learn some simple meditation, and of course, whoever we are, to practice charity and care for our families.
3. ประการที่สามเราจำเป็นต้องรักษาสมดุลในชีวิตให้ดี หากเธอเป็นนักปฏิบัติก็จงนำธรรมะมาเจริญภาวนาอย่างจริงๆจังๆและบ่อยๆ (หรือทำตามคำสอนในศาสนาหรือนิกายอื่นๆที่เธอนับถือ) และก็ดูแลครอบครัวและเพื่อนของเธอไปพร้อมๆกัน ดูแลพ่อแม่, ปู่ย่าตายาย, พี่น้อง, สมาชิกในครอบครัวทั้งหมดที่ดีต่อเธอเสมอมา, รวมทั้งเพื่อนๆทุกคน, และคนรู้จักของคุณ นอกจากนี้ก็ทำบุญสุนทานกับผู้ตกทุกข์ได้ยากหรือบำเพ็ญตัวให้เป็นประโยชน์ใน รูปแบบต่างๆที่แตกต่างกันไป ข้าพรู้สึกเลยว่าการรักษาสมดุลนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้เข้าสู่สภาวะสมดุลการใฝ่ศึกษาและปฏิบัติธรรมสามารถช่วยเธอได้จริงๆ แม้ว่าเธอไม่ได้คิดที่จะเอาจริงเอาจังในทางธรรม, มันย่อมมีประโยชน์มากที่จะเรียนรู้การเจริญภาวนาแบบง่ายๆ, และแน่นอนไม่เธอจะเป็นใครก็ตามมันย่อมเป็นประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันหาก เรารู้จักทำบุญทำกุศลและเอาใจใส่ดูแลครอบครัวของเราเอง
4. Fourthly, and lastly, we need to be sincere and honest with ourselves. At the same time, we also need self-confidence. By ‚’sincere and honest’ I mean that we need to be able to see and acknowledge our own faults and flaws. But when we see them, we should not fall into self-judgement; rather we should move towards positive change. Just acknowledge your shortcomings, and then do whatever you can to improve. If we slip into self-judgement we can end up making ourselves really miserable and lonely with low self-esteem and many different kinds of problems. So we need to be wary of that and work on reducing our self-judgement, as well as our judgement of others.
4. สุดท้ายประการที่สี่ เราจะต้องมีความจริงใจและความซื่อสัตย์กับตัวเอง ในขณะเดียวกันเราก็ต้องมีความเชื่อมั่นในตนเอง โดย “ความจริงใจและความซื่อสัตย์กับตัวเอง” ในที่นี้หมายถึงเราต้องสามารถสังเกตุเห็นและยอมรับความผิดพลาดและข้อบกพร่อง ของเราเอง แต่เมื่อเราเห็นสิ่งไม่ดีเหล่านั้นของเราเอง เราไม่ควรที่จะเลยเถิดไปถึงขนาดจมอยู่กับการเพ่งโทษตัวเอง; หากแต่เราควรจะปรับปรุงแก้ไขสิ่งไม่ดีเหล่านั้นเพื่อพัฒนาตัวเองต่อไป เพียงแค่ยอมรับข้อบกพร่องของเธอเองและจากนั้นให้พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ เธอจะทำได้เพื่อที่จะแก้ไขสิ่งไม่ดีเหล่านั้นของเธอ หากเราหลงจมอยู่กับการเพ่งโทษตัวเองเราก็จะทำให้ตัวเองรู้สึกสลดหดหู่, โดดเดี่ยวเดียวดาย, ขาดความมั่นใจในตนเองและมีปัญหาอื่นๆตามมาอีกมากมาย ดังนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังในสิ่งเหล่านี้และเพียรที่จะลดการ เพ่งโทษทั้งต่อตัวเองและต่อผู้อื่น
These four points I feel are very important factors, whether we be Buddhists or not, in cultivating true happiness and well-being so we can live our various lives with joy, ease, and dignity.
ไม่ว่าเราจะเป็นพุทธศาสนิกชนหรือไม่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าหัวข้อทั้ง 4 ข้างต้นนั้นเป็นปัจจัยที่สำคัญมากในการเพาะบ่มความสุขที่แท้จริงและความเป็น อยู่ที่ดีเพื่อให้เราสามารถดำรงชีวิตในแบบต่างๆของเราด้วยความร่าเริง, ผ่อนคลาย, และอย่างสง่างาม
Wishing you every happiness and joy, and with constant aspirations,
ข้าพเจ้าปรารถนาให้เธอมีความสุขและร่าเริงและเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย,
Phakchok Rinpoche
วัชราจารย์ พักชก รินโปเช
Sarva Mangalam!
ขอมงคลทั้งปวงจงมีแด่ท่าน
@Credit Thai Translator Team
Dear Friends Near and Far,
I hope you are all well. I am writing to you today (one day late) from Hong Kong where I have been teaching and holding several pujas. All of the programmes have gone very well. In particular we completed 100,000 Sampa Lhundrub feast offerings which was really excellent, and throughout I have been keeping all of you in my thoughts and prayers. It is really important that we practice the buddhadharma, and to do this we need a certain motivation: our motivation should be to attain enlightenment for the benefit of all sentient beings. But for many of us, the strength of this motivation is not enough. What we need to do then is remember the immediate benefits of the dharma, the effects we experience directly in our own lives. For example, how the dharma helps reduce our negative emotions; how through meditation we can increase our compassion and become more good-hearted so that even if others do us harm we don’t react with anger, but respond with patience and compassion.
A lot of people these days though don’t have enough time for the dharma. But even so, you can still make use of the little bit of time you do have here and there to apply the dharma.
Here and there, remember the Buddha’s teaching, apply it in your life, apply meditation in the short moments you have free throughout the day. This is so extremely important. If we fail to do this, and let our life slip by occupied solely with work, work, and more work life will have become quite meaningless and empty. Our lives will pass by and before we know it life will be over and we will have accomplished nothing truly meaningful. Time is ticking by, day by day, so we must practice the dharma now. But to do this we need discipline; discipline to make time and apply the dharma in our lives. This is something we need to do for ourselves; no one else can do it for us. The dharma is so important. Please keep this in mind.
In a few days, when I am back in Nepal I will send another short message via video. Until then, many prayers and aspirations that we can all foster the discipline to make our lives meaningful,
Sarva Mangalam,
Phakchok Rinpoche
สวัสดี กัลยาณมิตร ทั้งอยู่ใกล้และไกล
ข้าพเจ้าหวังว่าทุกท่านจะมีสุขภ
จากประเทศฮ่องกงที่ซึ่งข้าพเจ้า
ชีวิตเราก็อาจจะถึงจุดจบเสียแล้
ในอีกไม่กี่วัน เมื่อข้าพเจ้ากลับไปถึงประเทศเน
ขอมงคลทั้งปวงจงมีแด่ท่าน,
วัชรจารย์พักชก รินโปเช
@ Credit Thai Translator team